ไฮไลท์การเมือง : 1 ธ.ค.64 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก บรรลุความตกลงขั้นต้น ที่จะเจรจารายละเอียดของสนธิสัญญาระดับโลก เพื่อป้องกันและรับมือกับโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไปในอนาคต
โดยในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังการรายงานเรื่องโคโรนาไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน องค์การอนามัยโลกได้จัดการประชุมสมัชชาใหญ่วาระพิเศษขึ้นเมื่อวันจันทร์ หลังจากตัวแทนของประเทศสมาชิกเห็นพ้องกันในร่างเนื้อหาของข้อตกลงระดับโลกที่จะนำมาใช้เพื่อรับมือและป้องกันโรคระบาดใหญ่ครั้งต่อไป โดยความตกลงระหว่างประเทศซึ่งแม้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายที่บางคนเรียกว่า “pandemic treaty” นี้ นับเป็นการยินยอมผ่อนปรนระหว่างจุดยืนและข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปและประเทศต่างๆ กับของฝ่ายสหรัฐฯ
ข้อตกลงระหว่างประเทศระดับโลกดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ประเทศทั้งหลาย สามารถรับมือกับโรคระบาดใหญ่ในลักษณะของโควิด-19 ได้ดีขึ้น เพราะสำหรับกรณีของโควิด-19 นั้นผู้เชี่ยวชาญได้เตือนหลายครั้งแล้วว่า จะไม่มีใครที่ปลอดภัยจนกว่าทุกคนจะปลอดภัย โดยข้อตกลงซึ่งกำลังมีการเจรจานี้มุ่งจะแก้ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นและเป็นบทเรียนจากโควิด-19 เช่น การปรับปรุงมาตรการป้องกันและการรับมือกับการระบาด การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับจีโนมของไวรัสที่กลายพันธุ์ รวมทั้งการแจกจ่ายวัคซีนและยาใหม่ๆ ซึ่งได้จากการวิจัยด้วย
นาย Simon Manley ตัวแทนของอังกฤษประจำสำนักงานขององค์การสหประชาชาติที่นครเจนีวา มีคำแถลงว่า การตัดสินใจที่จะจัดทำโครงสร้างและความตกลงระดับโลกเพื่อรับมือกับโรคระบาดใหญ่ที่ว่านี้ แม้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ก็เป็นเรื่องดีที่ประเทศสมาชิกได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสนับสนุนต่อการแก้ปัญหาดังกล่าว อังกฤษ สหภาพยุโรปรวมทั้งประเทศอื่นๆ อีกราว 70 ประเทศต้องการให้มีการทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยมีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่สหรัฐฯ บราซิล กับอินเดียยังไม่เห็นด้วยเรื่องกลไกทางกฎหมายของข้อตกลง
อย่างไรก็ตามผู้ที่สนับสนุนการจัดทำสิ่งที่เรียกกันว่า “สนธิสัญญาโรคระบาดใหญ่” หรือ pandemic treaty ชี้ว่า กลไกด้านกฎหมายระหว่างประเทศนอกจากจะช่วยป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสองแล้ว ยังจะเป็นผลให้มีโครงสร้างระดับโลกเพื่อช่วยระบุภัยคุกคามด้านสาธารณสุขได้ด้วยการกำหนดให้แต่ละประเทศมีระบบเฝ้าระวังและติดตามโรคเพื่อระบุเชื้อที่กลายพันธุ์ รวมทั้งเพื่อรับประกันเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนและยาให้ได้ในระดับซึ่งเป็นที่ต้องการด้วย
แต่ถึงแม้ประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลกจะเห็นพ้องกันเรื่องความจำเป็นของการมีกลไกระดับโลกที่ว่านี้ก็ตาม ก็คาดว่าการเจรจารายละเอียดของข้อตกลงคงต้องใช้เวลาหลายปีและเชื่อว่าจะมีผลบังคับใช้หลังจากที่การระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว โดยเป็นที่คาดการณ์ว่าน่าจะมีการเจรจาข้อตกลงเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคมปี 2024
ถึงกระนั้นก็ตาม นักการทูตซึ่งเป็นตัวแทนสมาชิกประเทศหนึ่งขององค์การอนามัยโลกก็ให้ความเห็นว่า การบรรลุฉันทามติในขั้นต้นเกี่ยวกับแผนระดับโลกเพื่อรับมือกับโรคระบาดใหญ่ในอนาคตนี้ นับเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจของประชาคมโลกที่จะทำงานร่วมกัน
ที่มา : Reuters
Advertising