ไฮไลท์การเมือง : 31 ตุลาคม 2567 มหามงคล..คนไทยมีโอกาสสักการะ ”พระเขี้ยวแก้ว” ในรอบ 22 ปี หลังไทย-จีน เห็นพ้อง อัญเชิญจาก กรุงปักกิ่งให้คนไทยได้สักการะที่ท้องสนามหลวง 73 วัน ในโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระชนมพรรษา 6 รอบ และโอกาสความสัมพันธ์ มิตรภาพ ไทย-จีนครบ 50 ปี เริ่ม 4 ธันวาคมนี้ไปจนถึง 14 กุมภาพันธ์ปีหน้า
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รับทราบกรณีรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เห็นชอบร่วมกัน ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปี 2568 โดยเปิดให้ ประชาชน สักการะระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นเวลา 73 วัน ณ ท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับประเทศจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568
“ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้เคยอนุญาตให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2545 ณ พุทธมณฑล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งถือเป็น 1ใน 6 ครั้งที่ประดิษฐานนอกประเทศจีน ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นสิริมงคลยิ่งต่อพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยที่มีโอกาส เข้าสักการะโดยไม่ต้องเดินทางไป ถึงกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน”
นายจิรายุกล่าวต่อไป ว่า”การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในไทยครั้งนี้ จะสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับจีนให้แน่นแฟ้น ผ่านสายสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนา และผลักดันการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย- จีน และให้คำว่า“จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ยิ่งหยั่งรากลงลึกในจิตใจของประชาชนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้รัฐบาลได้จัดพิธีบวงสรวงการจัดสร้างมณฑปประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วในวันพรุ่งนี้ พุธที่ 30 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00 น. ณ ท้องสนามหลวง โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี”นายจิรายุ กล่าว
Advertisement