Home ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปีที่ 2 ของไบเดน เผชิญ 3 ความท้าทาย เศรษฐกิจ-โควิด-การแบ่งขั้วทางการเมือง

ปีที่ 2 ของไบเดน เผชิญ 3 ความท้าทาย เศรษฐกิจ-โควิด-การแบ่งขั้วทางการเมือง

by Editor staff

ไฮไลท์การเมือง : ไบเดนเริ่มงานปีที่ 2 พร้อม 3 ความท้าทาย  เศรษฐกิจ โควิด-19 และการแบ่งขั้วทางการเมือง

22 ม.ค. 65 วันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่ ปธน.ไบเดน เข้ารับตำแหน่งผู้นำอำนาจฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ปัญหาท้าทายต่างๆที่รออยู่ในวันทำพิธีปฏิญาณตนเมื่อปีที่แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไป และนั่นก็คือ โรคระบาดใหญ่โควิด-19 กับปัญหาความแตกแยก รวมทั้งการแบ่งขั้วทางการเมืองในอเมริกา ส่วนปัญหาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ อัตราเงินเฟ้อซึ่งสูงที่สุดในรอบ 39 ปี และประเด็นเหล่านี้ก็เป็นผลให้คนอเมริกันราว 50% ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของ ปธน.ไบเดน ตามผลการสำรวจของ Ipsos poll ครั้งล่าสุด

Mallory Newall ผู้อำนวยการฝ่ายการสำรวจความคิดเห็นสาธารณะของ Ipsos อธิบายว่า เหตุผลหลักสองเรื่องที่อยู่เบื้องหลังความไม่พอ ใจของคนอเมริกันคือ ปัญหาเศรษฐกิจและโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ซึ่งยังไม่จบสิ้นเสียที

ปธน.ไบเดน หาเสียงเลือกตั้งโดยสัญญาว่าจะรับมือและแก้ปัญหาโควิด-19 รวมทั้งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว อย่างไรก็ตามถึงแม้เศรษฐกิจของสหรัฐฯจะกระเตื้องขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อซึ่งสูงที่สุดในรอบ 39 ปีทำให้คนอเมริกันให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจมากกว่ารวมทั้งเป็นผลให้คะแนนนิยมเรื่องการบริหารเศรษฐกิจของ ปธน.ไบเดนอยู่ในระดับไม่ถึง 50% ด้วย

นอกจากนั้นปัญหาโควิด-19 ซึ่งยังคงยืดเยื้อและไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ก็ทำให้ความไม่พอใจของสาธารณชนอเมริกันสะท้อนกลับไปที่ตัวผู้นำรัฐบาลเช่นกัน

นอกจากปัญหาท้าทายสองเรื่องนี้แล้ว ปธน.ไบเดนได้พยายามแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในการใช้คะแนนเสียงของพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสที่มีมากกว่าคะแนนของฝ่ายรีพับลิกันเพียงเล็กน้อยผลักดันร่างกฎหมายมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ในเรื่องต่างๆ ที่เป็นนโยบายสำคัญของพรรคเดโมแครต เช่น การสร้างหลักประกันทางสังคม การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม รวมทั้งเรื่องที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงและสิทธิของคนทำงานที่จะลางานเพื่อดูแลครอบครัวโดยยังได้รับค่าตอบแทนด้วย

นักวิเคราะห์บางคน เช่น Andrew Puzder จาก Heritage Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมองแนวทางอนุรักษ์นิยมเห็นว่า ปธน.ไบเดน ควรมุ่งให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน เพราะหากปล่อยให้ปัญหาเงินเฟ้อและการขาดแคลนแรงงานรวมทั้งปัญหาของระบบ supply chain ยืดเยื้อไปมากเพียงใด โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ก็จะยิ่งตามมา ขณะที่ Jarrett Stepman นักเขียนคอลัมน์ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่ชื่นชอบในวิธีรับมือกับโควิด-19 ของ ปธน.ไบเดน และโจมตีนโยบายที่กำหนดให้ผู้คนต้องฉีดวัคซีนว่า เป็นเรื่องที่เข้มงวดมากเกินไปแต่ไร้ประสิทธิผลด้วย

แต่ก็มีนักวิเคราะห์การเมืองบางคน เช่น Kevin Kosar จาก American Enterprise Institute ที่มองว่าการสื่อสารจากทำเนียบขาวเองที่เป็นปัญหา และว่า รัฐบาลของ ปธน.ไบเดน พลาดโอกาสเรื่องการหยิบยกกฎหมายที่ผ่านสภาได้สำเร็จขึ้นมาพูด แต่กลับเน้นเรื่องที่ทำเนียบขาวและผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาไม่สามารถผลักดันให้เป็นผลได้ โดยเฉพาะเรื่องจุดยืนที่แตกต่างของวุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครตเอง ซึ่งคนอเมริกันไม่ต้องการฟัง ไม่สนใจ และไม่อยากได้ยินข้อแก้ตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้

Mallory Newall จากหน่วยงานสำรวจความคิดเห็น Ipsos ชี้ว่า ขณะที่ ปธน.ไบเดนเริ่มการทำงานในปีที่ 2 และปัญหาโควิด-19 ก็ย่างเข้าปีที่ 3 เช่นกันนั้น ความรู้สึกของผู้คนในขณะนี้ไม่เป็นไปในทางบวกเท่าไหร่นัก และจากความรู้สึกผิดหวังและไม่พอใจก็ทำให้เกิดคำถามและความไม่แน่ใจตามมา ซึ่งความรู้สึกของคนอเมริกันในลักษณะดังกล่าวย่อมจะส่งผลถึงเรื่องอื่นๆ เช่นความพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการผลักดันนโยบายของพรรคเดโมแครตเพื่อแก้ปัญหาภายในประเทศตามไปด้วย

ที่มา VOA

Advertising

Related Articles

Leave a Comment

Are you sure want to unlock this post?
Unlock left : 0
Are you sure want to cancel subscription?
-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00