Home การเมือง ‘พิธา’ ยิ่งยุบยิ่งโต ติดเทอร์โบให้ก้าวไกล

‘พิธา’ ยิ่งยุบยิ่งโต ติดเทอร์โบให้ก้าวไกล

by Editor staff

ไฮไลท์การเมือง : 7 เมษายน 2567 “ชัยธวัช” ฮึดสู้! ลั่นรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาล รธน.ยุบพรรค แค่สั่งให้ยุติการกระทำเท่านั้น ยุบพรรคอยู่ในกฎหมายลูกที่มีศักดิ์ต่ำกว่า ยันไม่วิตกคำวินิจฉัยเซาะกร่อนบ่อนทำลายเป็นสารตั้งต้นนำไปสู่การยุบก้าวไกล ชี้คดีมีรายละเอียดเยอะ   เตรียมขอศาล รธน.ขยายส่งคำชี้แจงเพิ่ม “พิธา” ถามยุบแล้วได้อะไร เชื่อระยะยาวเป็นการติดเทอร์โบ ทำให้พรรคที่ถูกยุบได้แต้มต่อทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า

เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2567 ที่โรงแรมเมเปิล บางนา พรรคก้าวไกลจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงวาระการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ที่หลายฝ่ายจับตาไปที่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยขอให้รอมติจากที่ประชุม ส่วนหากมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค บทบาทของตนจะอยู่ตรงไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับมติ

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะไม่มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค เพราะอาจมองว่าจะเสียของหากมีการยุบพรรคในอนาคต นายชัยธวัชย้ำว่า ขอให้รอดูความเห็นและมติในที่ประชุม ซึ่งหลังจบประชุมทีมโฆษกพรรคก็จะมาแถลงความชัดเจน

เมื่อถามถึงสถานการณ์ของพรรคขณะนี้ จะมีการสร้างขวัญและกำลังใจกับสมาชิกพรรคอย่างไร หัวหน้าพรรคก้าวไกลเผยว่า เรามีเป้าหมายชัดเจนตามแผนงาน และขวัญกำลังใจไม่ได้มีปัญหา พร้อมเดินหน้าเต็มที่ตามที่วางแผนไว้ ตราบใดที่รากฐานและระบบการทำงานของพรรคมีคุณภาพ เราก็พร้อมเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์

สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญให้กรอบเวลา 15 วัน ส่งคำชี้แจงปมยุบพรรค นายชัยธวัชบอกว่า พรรคได้รับสำนวนแล้วในวันที่ศาลมีมติ ขณะนี้อยู่ระหว่างทำคำชี้แจงข้อกล่าวหา ส่วนเวลา 15 วันเพียงพอหรือไม่นั้น มองว่ามีรายละเอียดค่อนข้างเยอะมาก ตนได้พูดคุยกับฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีแง่มุมที่ต้องโต้แย้งเยอะ ที่อาจให้ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนเพิ่มเติม เพราะมีข้อเท็จจริง บุคคลและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนตามปกติที่ศาลรัฐธรรมนูญสามารถให้ผู้ถูกร้องขยายเวลายื่นเอกสารได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีครั้งนี้คำวินิจฉัยเซาะกร่อนบ่อนทำลายถูกมองเป็นสารตั้งต้นไปสู่การยุบพรรค หัวหน้าพรรคก้าวไกลตอบว่า คำร้องครั้งนี้แตกต่างจากคดีที่ผ่านมา ทั้งรายละเอียดและแนวทางการต่อสู้ ส่วนที่คำร้องครั้งนี้รวมพฤติการณ์ของ 44 สส. ตนขอดูรายละเอียดก่อน เพราะมีค่อนข้างเยอะ ยังไม่ได้ดูทั้งหมด น่าจะมีหลายร้อยหน้า

“การเติบโตของพรรคก้าวไกล พวกเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับการยุบหรือไม่ยุบพรรค แต่ขึ้นอยู่กับแนวทางการทำงานและนโยบายที่จะตอบโจทย์ประชาชนได้หรือไม่ นี่คือเรื่องหลัก เราคงไม่หวังให้ตัวเองถูกยุบพรรคเพื่อให้พรรคเติบโตขึ้น เชื่อมั่นว่าถ้าพรรคฝ่าฟันอุปสรรคตรงนี้ไปได้ เราก็จะเติบโตและเข้มแข็ง”

นายชัยธวัชยังย้ำว่า ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มีบทบัญญัติใดหรือมาตราใดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมือง แต่อำนาจในการยุบไปปรากฏอยู่ใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองและต่ำกว่า ดังนั้นเรายิ่งเห็นว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญแค่สั่งให้ยุติการกระทำที่ศาลเห็นว่าเป็นการล้มล้างการปกครองแค่นั้น

“ดังนั้นจุดมุ่งหมายและลำดับศักดิ์ของกฎหมายก็ไม่เท่ากัน แต่โทษที่กำหนดในกฎหมายต่ำกว่า กลับร้ายแรงกว่า ต้องเป็นกรณีจำเพาะมากเท่านั้น จึงจะลงโทษร้ายแรงขนาดนี้ต้องได้สัดส่วน”

นายชัยธวัชยังกล่าวถึงกรณีการตั้งพรรคสำรองที่ชื่อว่าพรรคอนาคตไกล ที่มีสีส้มเหมือนกันด้วยนั้นว่า ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค เนื่องจากพรรคนี้ชื่ออาจจะคล้ายกับเรา และใช้สีส้มด้วย ก่อนฝากประชาชนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่สีส้มอาจจะได้รับความนิยมหน่อยในช่วงนี้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าลูกสาว (แพทองธาร ชินวัตร) มีดีเอ็นเอเหมาะเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย คิดเห็นอย่างไร นายชัยธวัชกล่าวว่า ถ้า น.ส.แพทองธารจะสามารถเป็นผู้นำพรรค รวมถึงผู้นำประเทศในอนาคต และประสบความสำเร็จ ก็คงขึ้นอยู่กับความสามารถและศักยภาพของ น.ส.แพทองธารเอง คงไม่เกี่ยวกับว่ามีพ่อหรือมีแม่เป็นใคร

เมื่อถามถึงกระแสข่าวของพรรคประชาธิปัตย์ว่าอาจจะทิ้งพรรคก้าวไกลไปร่วมรัฐบาลนั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกล มองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล และในฐานะแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน เราก็ให้เกียรติซึ่งกันและกันในทุกพรรคการเมือง

ทั้งนี้ นายชัยธวัชยังเปิดเผยว่า วันนี้คงไม่ได้ไปหรือส่งใครไปร่วมงานวันครบรอบก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ผู้สื่อข่าวจึงถามว่าความสัมพันธ์ยังดีอยู่หรือไม่ นายชัยธวัชย้ำว่า ดีครับ ส่วนที่มีข่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์จะทิ้งไป ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคิดเห็นอย่างไร นายชัยธวัชมองว่าเป็นเรื่องของแต่พรรค

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า อย่างที่หัวหน้าพรรคพูดว่ารายละเอียดมันเยอะ มันคนละมาตรา คนละกฎหมาย เราคงจะต้องดูรายละเอียด และดูว่าเราต้องใช้สิทธิ์ในการขอขยายเวลา และขอสิทธิ์ในการไต่สวน  กว่าจะได้ต่อสู้ทางคดีอย่างเหมาะสม เพราะเรื่องนี้โทษหนักกว่าคราวที่แล้วเยอะ คราวที่แล้วมีเอาไว้เพียงแค่ปรามป้องกัน อันนั้นเรายังมีสิทธิ์ได้ไต่สวนเลย แต่คราวนี้มันถึงกระทั่งยุบพรรค ประหารชีวิตการเมืองทั้งหลาย มันก็ควรที่จะให้สิทธิ์ในการขยายในรายละเอียดและก็ให้ต้องสู้อย่างเต็มที่ มันจะได้หมดข้อครหา แล้วเมื่อดูในรายละเอียด หากหัวหน้าเห็นด้วย ก็คงใช้สิทธิ์ในการขยายเวลาและก็ขอสิทธิ์ในการไต่สวน ในการสู้คดีเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน จะมาคิดว่าเหมือนคดีเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้”  นายพิธากล่าว

เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยที่ใช้คำว่าเซาะกร่อนบ่อนทำลายจะเป็นสารตั้งต้นนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า กฎหมายนั้นมีหลายมาตรา ซึ่งจะต้องดูว่าในมาตรานั้นมีเจตนารมณ์อย่างไร หากป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำ ก็จะมีสัดส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องถึงขั้นประหารทางการเมือง โดยเฉพาะการทำลายพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่กระทบต่อพรรคก้าวไกล แต่จะกระทบต่อระบบประชาธิปไตย ซึ่งฝ่ายค้านก็เป็นส่วนสำคัญ จึงต้องใช้ดุลยพินิจคนละรูปแบบกัน หรือหมายถึงมีคำวินิจฉัยแบบเดิมมา ก็ไม่ได้หมายถึงน้ำหนักของโทษจะต้องเท่ากัน จึงต้องใช้เวลาในการทำคำชี้แจงต่อสู้ทางกฎหมายต่อไป พร้อมยืนยันว่าในส่วนของก้าวไกลไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร หรือไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร แต่คำตอบที่ดีที่สุดคือการทำให้ประชาชนและสมาชิกพรรคมีความมั่นใจ

นายพิธากล่าวต่อว่า จากการฟังความเห็นของทุกพรรคการเมือง ซึ่งต่างก็ไม่เห็นด้วยกับโทษยุบพรรค จึงฝากสื่อไปถามนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการยุบพรรคเพื่อทำลายล้างทางการเมือง ที่ผ่านมาแล้ว 20 ปีการยุบพรรคการเมือง หากเป็นครั้งนี้ก็ถือว่าครั้งที่ 4-5 แล้ว ซึ่งต้องดูว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพรรคก้าวไกลพรรคเดียว แต่เป็นเรื่องของระบบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับมาต่อสู้ในระบบ ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ และส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าผู้ที่มีอำนาจในการยุบพรรคได้ถามตัวเองหรือไม่ว่ายุบพรรคไปจะได้อะไร ซึ่งในระยะสั้นอาจจะทำให้พรรคที่ถูกยุบอ่อนแรงลง ทำให้ฝ่ายค้านอันดับหนึ่งอ่อนแอลง แต่ในระยะยาวขณะเดียวกันมันก็เป็นการติดเทอร์โบ ทำให้พรรคที่ถูกยุบได้แต้มต่อทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ขณะที่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของทีมกฎหมายที่จะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบหลัก ร่วมกับกรรมการบริหารของพรรค ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดกรอบเวลาให้ยื่นคำชี้แจงต่อข้อกล่าวหาในเบื้องต้น 15 วัน แต่ทางพรรคเห็นว่าพอจะมีช่องทางกฎหมายที่สามารถขยายเวลาได้ และหลังจากส่งคำชี้แจงหลังสงกรานต์ไปแล้ว พรรคก้าวไกลจะมีการแถลงต่อสาธารณะถึงแนวทางในการสู้คดีอย่างเป็นระบบและละเอียดอีกครั้ง

ส่วนกรณีของ สส.งูเห่านั้น นายพริษฐ์เชื่อว่า ทุกคนที่สังกัดพรรคก้าวไกลนั้น ในมุมหนึ่งทุกคนมีอุดมการณ์ที่ตรงกันว่าอยากเห็นอนาคตประเทศไทยอย่างไร และอีกมุมหนึ่งก็เข้าใจถึงความเสี่ยงของสภาวะนิติสงครามภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่ยังไม่ปกติ ดังนั้นจึงเชื่อว่าทุกคนจะเดินหน้าต่อ ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่เราอยากเห็นร่วมกัน

สำหรับภาพรวมการทำงานของฝ่ายค้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา นายพริษฐ์ กล่าวว่า เอาเฉพาะพรรคก้าวไกลนั้นเรามีการประเมินผลการทำงานเป็นระยะๆ  เราพยายามยกระดับการทำงานต่อไปเรื่อยๆ หลังจากมีการตั้งรัฐบาล เราก็ทำหน้าที่ในฝ่ายค้านเชิงรุก และพยายามผลักดันวาระทางสังคมที่เราเห็นว่าสำคัญ โดยไม่ต้องรอรัฐบาลว่าจะออกวาระอะไร ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดคือ ในทุกสัปดาห์จะมีการพูดคุยกฎหมายของพรรคก้าวไกลในสภา โดยตรงนี้เป็นกลไกสำคัญที่กระตุ้นรัฐบาลให้มองเห็นถึงปัญหาที่พรรคก้าวไกลมองว่าเป็นปัญหา และรัฐบาลจะต้องมีชุดคำตอบของตัวเองต่อปัญหาดังกล่าว แม้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างจากพรรคก้าวไกลบ้าง

นายพริษฐ์กล่าวย้ำว่า เราใช้ทุกกลไกของสภาในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรารู้ว่าเป็นอาวุธที่ฝ่ายค้านมีในมือ แต่เราจะใช้มันอย่างถูกจังหวะ ถูกเวลา และคุ้มค่าที่สุด ไม่อยากให้มองว่ากลไกที่ฝ่ายค้านมีแค่การอภิปราย แต่ยังมีการตั้งกระทู้ถาม ทำให้เราสามารถถามแทนพี่น้องประชาชนต่อรัฐบาลในประเด็นที่รัฐบาลอาจเดินไม่ตรงจุด รวมถึงกลไก กมธ. ที่ทางพรรคก้าวไกลพยายามขยายองค์ความรู้ในการเสนอแนะ

เมื่อถามว่า นายพริษฐ์สามารถเป็นหัวหน้าพรรครุ่นต่อไปได้หรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า พรรคการเมืองทุกพรรคต้องใหญ่กว่าคนอยู่แล้ว ในมุมหนึ่งทุกพรรคการเมืองต้องเสริมทักษะความเป็นผู้นำให้แก่คนในพรรคอยู่แล้ว และพรรคก้าวไกลทำงานเป็นทีมมาตลอด เพื่อให้การทำงานนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายให้เร็วที่สุด ย้ำว่าพรรคใหญ่กว่าคน ตอนนี้เราเป็นพรรคก้าวไกล นำโดยหัวหน้าพรรค ประธานที่ปรึกษาฯ ซึ่งพรรคมีความเข้มแข็งในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงมีความพร้อมหากได้รับเลือกจากประชาชนเข้าไปบริหารประเทศ

นายพริษฐ์ยังกล่าวถึงกระแสข่าวการตั้งพรรคสำรองอีกว่า พรรคอนาคตไกลไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล เพราะตอนนี้สมาธิเราโฟกัสอยู่แค่ 2 อย่างคือ ทำอย่างไรให้เราพิสูจน์กระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญได้ และทำงานเต็มที่ผ่านกลไกทางการเมืองต่างๆ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในฐานะพรรคก้าวไกล

“เราเห็นว่าที่ผ่านมาการยุบพรรคการเมืองคือเครื่องมือในการทำลายล้างฝั่งตรงข้าม หากเราดูมาตรฐานประชาธิปไตยสากลจะไม่มีการยุบพรรคเกิดขึ้น หากมีพรรคไหนที่กรรมการบริหารพรรคทำอะไรผิด จะเป็นการลงโทษบุคคล พรรคการเมืองควรเป็นสถาบันทางการเมืองที่ควรจะใหญ่กว่าคนใดคนหนึ่ง หรือคณะบริหารชุดใดชุดหนึ่ง” นายพริษฐ์กล่าว

Advertisement

 

Related Articles

Leave a Comment

Are you sure want to unlock this post?
Unlock left : 0
Are you sure want to cancel subscription?
-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00